ทฤษฎีโครงสร้าง
-
หน้าที่ (Structural Functionalism)
ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่
เป็นทฤษฎีหลักทางสังคมวิทยา
และเป็นทฤษฎีที่ทางอิทธิพลทฤษฎีหนึ่งของสังคมวิทยา นั่นหมายถึงเราสามารถใช้ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่ อธิบายหรือพยากรณ์ ทำความเข้าใจ
ปรากฏการณ์ทางสังคมได้อย่างชัดเจนและละเอียดในทุกระดับชั้นของสังคมโลกเป็นอย่างดี
ขอบข่ายของทฤษฎีโครงสร้าง
- หน้าที่
ถ้าเราจะศึกษาทฤษฎีโครงสร้าง
- หน้าที่
ให้ครบถ้วนแล้วเราต้องศึกษาเรื่องใดบ้าง
เรื่องที่เราจะต้องศึกษามีดังต่อไปนี้คือ
1.
ทฤษฎีโครงสร้าง - หน้าที่คลาสสิก (Classical Structural
Functionalism)
2.
ทฤษฎีหน้าที่ของการชนชั้น (The
Functional Theory of
Stratification)
3.
สิ่งจำเป็นของหน้าที่ในสังคม (The
Functional Prerequisites of
Society)
4.
ทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่ของพาร์สัน (Parsons’s Structural
Functionalism)
ความสมานฉันท์และความขัดแย้ง (Consensus and
Conflict)
ก่อนที่เรียนรู้ทฤษฎีโครงสร้าง
– หน้าที่
เราต้องรู้ 2 ศัพท์ คือ
1.
ความสมานฉันท์ (Consensus)
2.
ความขัดแย้ง
(Conflict)
ทฤษฎีสมานฉันท์ มองที่บรรทัดฐานร่วม (Shared
Norms and Values)
และค่านิยมร่วมว่าเป็นพื้นฐานของสังคม และมองที่ความเป็นระเบียบทางสังคม
ขึ้นอยู่กับข้อตกลงโดยอ้อม ๆ(Social
Order) และมองการเปลี่ยนแปลงทางสังคมว่า เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และเป็นไปตามแฟชั่น
ทฤษฎีความขัดแย้ง เน้นที่
การมีอิทธิพลต่อกลุ่มคนในสังคม
โดยคนอีกกลุ่มหนึ่ง และมองเห็นความเป็นระเบียบของสังคมว่า ขึ้นอยู่กับการใช้กลยุทธ์และควบคุม โดยคนอีกกลุ่มหนึ่ง
และมองการเปลี่ยนแปลงทางสังคมว่าเกิดขึ้นโดยอย่างรวดเร็ว และไม่เป็นไปตามแฟชั่น
ทฤษฎีโครงสร้าง
-
หน้าที่ (Structural Functionalism)
คำว่า “โครงสร้างกับหน้าที่” ไม่ต้องใช้รวมกันก็ได้ เราสามารถแยกใช้ต่างกันได้ มาร์ก
อับราฮัมสัน ได้ระบุทฤษฎีโครงสร้าง
– หน้าที่ ไว้ 3
ระดับ
1. Individualistic Functionalism (หน้าที่นิยมส่วนบุคคล) = ทฤษฎีนี้เน้นที่ความต้องการผู้กระทำ
(Actors) โครงสร้างหน้าที่จึงปรากฏที่หน้าที่ที่สนองตอบต่อความต้องการ
2. Interpersonal
Functionalism (หน้าที่นิยมกับผู้อื่น) = ทฤษฎีนี้เน้นที่ความสัมพันธ์ทางสังคม
(Social Relationship) โดยกลไกที่ขจัดความตึงเครียดที่มีอยู่ในความสัมพันธ์นั้น
ๆ
3. Societal
Functionalism (หน้าที่นิยมสังคม) = ทฤษฎีนี้เน้นที่โครงสร้างทางสังคมขนาดใหญ่และสถาบันทางสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกันและบังคับ ผลของการบังคับต่อผู้กระทำ
ทฤษฎีโครงสร้าง
-
หน้าที่แบบคลาสสิก
นักสังคมวิทยาแบบคลาสสิก 3
ท่าน คือ ออกุสค์
คองต์, เฮอร์เบริต์ สเปนเซอร์
และอีมิล เดอร์คไฮม์ มีอิทธิพลต่อทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่อย่างมาก
คองต์ มีความคิดแบบบรรทัดฐานเกี่ยวกับสังคมที่ดี (Good
Society) สังคมที่ดีต้องมีดุลยภาพ (equilibrium) เขานำเสนอทฤษฎีอินทรีย์ทางสังคม (Organism) โดยมองเปรียบเทียบสังคมกับอวัยวะทางร่างกายคล้าย
ๆ กัน โดยเฉพาะการทำหน้าที่ เขาจึงเรียกว่า “ทฤษฎีอินทรีย์ทางสังคม” (Social
Organism ) เช่น เขาเปรียบเซลส์เหมือนกับครอบครัว และ
เนื้อเยื่อกับการแบ่งชนชั้นทางสังคม อวัยวะกับเมือง และชุมชน
เป็นต้น
สเปนเซอร์ ก็นำหลักอินทรีย์มาใช้เหมือนกัน แต่เขามองที่สังคมทั้งหมด โดยเน้นที่ตัวผู้กระทำเป็นหลัก เขาแบ่งอินทรีย์ไว้เป็น 2 ระดับ คือ
1.
สังคม
(Social Organism)
2.
ปัจเจก
(Individual Organism)
ขณะที่ทั้ง 2 อย่างเจริญขึ้น สิ่งที่ไม่เป็นอินทรีย์ไม่เจริญ และยิ่งมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ยิ่งมีความสลับซับซ้อนและแตกต่างยิ่งขึ้น ยิ่งแตกต่าง
ยิ่งทำให้หน้าที่แตกต่างไปด้วย
และต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน
ดังนั้น
ตัวไหนเปลี่ยนอีกตัวก็เปลี่ยน
เดอร์คไฮม์ ความสนใจของเขาอยู่ที่ Social
Organism และการปฏิสัมพันธ์กัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความต้องการทางสังคม (Social Need) อันประกอบไปด้วย
1.
สาเหตุทางสังคม (Social
Cause)
2.
หน้าที่ทางสังคม (Social
Function)
สาเหตุ เกี่ยวกับว่าเหตุใดจึงมีโครงสร้างอย่างนี้และมีรูปแบบอย่างนี้
หน้าที่
เกี่ยวกับความต้องการการต่อระบบที่ขยายออกไปได้รับการตอบสนอง โดยโครงสร้างที่ให้ไว้หรือไม่
ทฤษฎีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดชนชั้นทางสังคม
ตามความคิดของ Kingley David &
Wilbert Moore คิงเลย์ เดวิด
และวิลเบริต์ มัวร์
ทั้งสองคิดว่า การจัดชนชั้นทางสังคม (Social Stratification) เป็นสากลและจำเป็นทุกสังคมต้องมีชนชั้น
ชนชั้นมาจากเจตจำนงในการทำหน้าที่
1.
ในด้านโครงสร้าง
มองว่าการจัดชนชั้นได้จัดบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ที่ได้รับความนับถือตาม (ค่านิยม) โดยมีเหตุจูงใจ 2
ประการ
1.1
ปลูกฝังให้บุคคลอยากเข้าสู่ตำแหน่งที่กำหนด
1.2
ทำตามบทบาทในตำแหน่งที่สังคมคาดหวังไว้
ดังนั้นการจัดบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่เหมาะสมจึงเป็นระบบทางสังคมในทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อหน้าที่หลักของสังคม
(The Functional Prerequisite of Society ) ในการนิยามหน้าที่พื้นฐาน
(Prerequisite) ก่อนเกิดหน้าที่ของระบบปฏิบัติการ (Action
System) มี 4 อย่าง คือ
1.
การปรับตัว (Adaptation)
2.
การบรรลุเป้าหมาย (Goal Attainment)
3.
บูรณาการ (Integration)
4.
การธำรงไว้ซึ่งแบบแผน (Pattern
Maintenance)
สังคมเกิดจาการต้องการอยู่รวมกันแบบสมานฉันท์ของสมาชิกในสังคม
สิ่งที่ทำให้เกิดการสมานฉันท์ที่สมบูรณ์แบบคือ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Potential Communication) หมายถึง
ระบบสัญลักษณ์ร่วม (Shared Symbolic systems )โดยผ่านการเรียนรู้ระเบียบทางสังคม
(Socialization)
สังคมต้องมีเป้าหมายร่วมกัน
ถ้าต่างกันจะเกิดความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้สังคมจำเป็นต้องมีวิธีการในการกำหนดเป้าหมาย
โดยใช้ระบบบรรทัดฐาน (Normative System) , ความสำเร็จของบุคคล ถ้าไร้บรรทัดฐานแล้ว
สังคมจะไร้ระเบียบและเดือดร้อน
สังคมต้องมีระบบการเรียนรู้
สำหรับคนในสังคมต้องเรียนสิ่งต่างๆ ทั้งสถานภาพในระบบชนชั้น ค่านิยมร่วม
จุดหมายที่ยอมรับร่วมกัน การรับรู้ร่วมกัน ตลอดจนการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก
จึงช่วยให้เกิดความร่วมมือและปฏิบัติที่สอดคล้องกับบรรทัดฐาน
สังคมต้องมีมาตรการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ ยอมรับในค่านิยมที่เหมาะสม เขาจะประพฤติอยู่ในกรอบของความถูกต้องดีงาม
โดยความสมัครใจ